[SF TaoKacha] The Promise
ข้าก็ยังจะรอ...รอให้เจ้ากลับมา....ดั่งคำที่เจ้าเคยให้สัญญา แม้เวลาจะล่วงผ่านไปอีกเป็นกี่สิบปี กี่ร้อยปี หรือเป็นพันปี.........ความรักของข้าจะไม่มีวันเสื่อมคลาย
ผู้เข้าชมรวม
3,573
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ไม่ว่าจะเมื่อไร ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน
ข้าก็ยังจะรอ...รอให้เจ้ากลับมา....ดั่งคำที่เจ้าเคยให้สัญญา
โปรดจงรู้ไว้เถอะว่าข้าเองยังคงรักษาสัญญาของข้าที่ให้ไว้กับเจ้า
ข้าจะเก็บรักษาความรักในหัวใจ เพื่อรอที่จะมอบคืนมันให้กับเจ้าอีกครั้ง
แม้เวลาจะล่วงผ่านไปอีกเป็นกี่สิบปี กี่ร้อยปี หรือเป็นพันปี.........
ความรักของข้าจะไม่มีวันเสื่อมคลาย
ร่างบางในชุดคลุมสีแดงเพลิงที่ยาวกอมเท้านั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้สลักตัวเก่าคร่ำครึ ใบหน้าสวยขาวซีดเรียบนิ่งล้อมกรอบด้วยผมสีดำยาวสยายถึงกลางหลัง ดวงตาโศกจ้องมองทะลุออกไปนอกรูปภาพที่ถูกสะกดวิญญาเอาไว้ มองออกไปยังนอกหน้าต่างที่ขณะนี้พายุหิมะกำลังโหมกระหน่ำ
ในมือคู่สวยดั่งลำเทียนประคองกระถางดอกกุหลาบสีดำซึ่งครั้งหนึ่งมันเคยออกดอกสีขาว แต่บัดนี้มันเปลี่ยนไปแล้วเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา คล้ายกับรักที่บริสุทธิ์เมื่อแรกเริ่มผลิบานพอผ่านกาลเวลาที่เนิ่นนานความรักนั้นก็ยังคงประทับอยู่ และยิ่งฝังลึกหยั่งรากลงเพื่อรอคอยเป็นนิรันดร์
เนิ่นนานเป็นพันปีที่ต้องถูกสะกดไว้ในภาพวาด นั่งเฝ้ามองดูฤดูกาลเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า ฝนยังตกเหมือนเดิมทุกปี ดอกไม้ยังคงผลิบานทุกปี พายุหิมะก็ยังคงกระหน่ำลงมาทุกปี และสิ่งที่เหมือนเดิมทุกปีคือ...
….........เขายังคงไม่กลับมา..............
จิ้งจอกน้อยวิ่งไปพลางกระโดดไปพลางตามไหล่เขาที่ลาดชัน ปากก็คาบปลาจากลำธารที่เพิ่งจะจับได้หมาดไว้แน่น เมื่อมาถึงที่หมายมันก็หายเข้าไปในถ้ำเวลาผ่านไปไม่ถึงชั่วพริบตาร่างบางผอมเพรียวของหนุ่มน้อยชุดแดงเพลิงคนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากถ้ำในมือถือปลาตัวใหญ่สดๆ ที่ตอนนี้สิ้นใจไปแล้ว
เขาเดินลัดไปขอบด้านหลังของถ้ำไม่นานก็พบกับหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีไม่กี่หลังคาเรือน เขาตรงไปยังท้ายหมู่บ้านแล้วเปิดประตูเข้าไปในกระท่อมน้อยหลังนั้น
“ ท่านแม่~ วันนี้ข้าได้ปลามาด้วยตัวใหญ่เชียวล่ะ “
มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตอบกลับมา สองเท้าก้าวยาวๆ ไปเปิดม่านไม้ไผ่ในครัวเพื่อมองหาผู้เป็นมารดาแต่กลับไม่พบอีกเช่นเคย
“ ไปไหนกันนะท่านแม่ “
หนุ่มน้อยคิดว่ามารดาออกไปหาวัตถุดิบเพิ่มจึงไม่ได้สนใจอีก เขาจัดการชำแหละปลาตัวโตเพื่อรอแม่กลับมาทำอาหาร แต่ทว่ายังไม่ทันได้ทำเสร็จเขาก็ได้กลิ่นเหม็นไหม้อย่างรุนแรง จึงรีบวิ่งออกมาตามกลิ่น ครั้นพอออกมาด้านนอกก็ต้องตกใจสุดชีวิต เมื่อเห็นกลุ่มมนุษย์แปลกหน้ากลุ่มใหญ่กำลังเผากระท่อม บ้านเรือนในหมู่บ้านจนเสียหายยับเยิน และชายคนหนึ่งในกลุ่มก็พลันหันมาพบกับเขาที่ยืนตื่นตะลึงพึงพรืดอยู่
“ มันอยู่นั่นตนหนึ่ง! ไปจับมันมาเร็ว! “
หนุ่มน้อยรีบวิ่งหนีไปทางหลังบ้านโดยเร็วที่สุด เขาวิ่งตัดทุ่งหญ้าท้ายหมู่บ้าน ลงผาไปยังลำธารทว่ายังคงได้ยินเสียงของคนกลุ่มใหญ่ที่ติดตามมาอย่างไม่ลดละ
“ มันอยู่นั่น “ สิ้นเสียงนั้นหนุ่มน้อยก็ถูกลูกธนูปักลงที่ไหล่ซ้ายและตกลงไปในลำธารทันที
“ มันไปไหนแล้ว “
“ ข้ายิงถูกมัน มันต้องอยู่แถวนี้แหละ “
“ ข้าเห็นมันตกลงไปในลำธาร ช่วยกันหาเร็วอย่าให้มันหนีไปได้ “
เสียงผู้คนจอแจช่วยกันหาร่างของชายหนุ่มแต่ก็ไม่พบจนค่ำคนกลุ่มนั้นก็เลิกล้มและกลับไป จิ้งจอกตัวน้อยสีแดงเพลิงค่อยๆ เดินกระเผลกออกมาจากโขกแก่งแง่หินโสโครก เขากลายร่างเป็นจิ้งจอกเพลิงแล้วแอบอยู่ตรงนี้จนพวกมนุษย์ถอยกลับไป
ตอนนี้เขาไม่รู้จะไปทางไหน บาดแผลที่เจ็บจากการถูกลูกธนูอาคมยิงฉกรรจ์เกินกว่าที่จะสมานท์ตัวเองได้เช่นปกติ จิ้งจอกน้อยกลายร่างเป็นมนุษย์และค่อยๆเดินลากเท้าไปตามลำธารเรื่อยๆ หวังว่าอาจจะพบกับกลุ่มจิ้งจอกเพลิงพวกของตนที่หนีมาก่อนเบื้องหน้า
ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาว หิมะตกลงมาจากที่บางตาก้เริ่มหนักขึ้น หนักขึ้นเรื่อยๆ บาดแผลที่มีเลือดออกไหลซึมไม่หยุดเมื่อเจอกับความหนาวเย็นของหิมะที่กัดกินเนื้อผิวยิ่งทำให้เรี่ยวแรงยิ่งถดถอย เขาฝืนใจเดินไปได้อีกเพียงไม่กี่ก้าวก็ล้มลงที่ข้างลำธารและสลบไป
เปลือกตาแสนหนักอึ้งราวกับมีอะไรมากดทับ ร่างกายที่อ่อนแอต้องการพักผ่อนยิ่ง แต่เมื่อจะหลับลงคราใดไม่นานก็จะมีร่างสูงใหญ่ของใครบางคนคอยปลุกให้ตื่นเพื่อกินอะไรบางอย่างที่ขมเฝื่อนคอ ครั้นจะปฏิเสธก็ไม่ได้เพราะใครคนนั้นจะบังคับกรอกของเหลวนั่นให้ดื่มได้อยู่ดี
7 วัน 7 คืนที่หนุ่มน้อยแปลกหน้าสลบไสลไม่ได้สติ ชายตัดไม้ไปพบเขานอนสลบอยู่ที่ลำธารในตอนเช้าเมื่อเจ็ดวันก่อน ด้วยความที่เป็นมีจิตใจเมตตาเขาจึงพาคนร่างบางกลับมารักษาบาดแผลที่บ้าน คิดไม่ถึงว่านี่ 7 วันแล้วเขาก็ยังไม่ได้สติ
“ เจ้า...กินยาก่อน “ ชายตัดฟืนต้องบังคับกรอกน้ำกรอกยาให้ร่างบางที่บาดเจ็บอยู่อย่างยากลำบาก แต่ทว่าวันนี้คงไม่ยากอีกแล้ว
“ ที่นี่ที่ไหน... “ เสียงแหบๆ เอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรกเมื่อรู้สึกตัว
“ เจ้าฟื้นแล้วหรือ! ที่นี้บ้านของข้าเอง ค่อยๆ ลุกนะ “ ชายตัดฟืนพยุงร่างบางให้นั่งพิงหัวเตียง
“ ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ไง....” แม้จะฟื้นขึ้นมาแล้วแต่ร่างบางก็อ่อนแออยู่มาก
“ ข้าช่วยเจ้ามาจากลำธาร เจ้าถูกทำร้าย....ใครทำร้ายเจ้ากัน แล้วเจ้าเป็นคนจากหมู่บ้านไหน “ ชายตัวฟืนถามรัวเร็ว หลายวันมานี้เขาสงสัยเหลือเกินว่าหนุ่มน้อยหน้าหวานคนนี้เป็นใครมาจากที่ใด หากเขานั้นเป็นคนมีความเมตตาก็จริงอยู่แต่เขาก็ไม่อยากช่วยเหลือผู้ที่ทำผิดจนโดนไล่ล่า
“ ข้า....ข้า...ข้าเป็นมนุษย์นะ “ ด้วยความกลัวว่าคนที่ช่วยเหลือจะรู้ความจริงจิ้งจอกน้อยก็บอกออกไปอย่างนั้นโดยที่ไม่ได้คิด
“ ก็แน่ล่ะ ข้าก็เห็นว่าเจ้าเป็นมนุษย์นี่นา เจ้านี่พูดจาน่าขันพิลึก “
“ อ้อ~ “ เมื่อรู้ตัวว่าตนเองไม่ควรตื่นเต้นไปก่อนร่างบางจึงได้แต่นั่งนิ่งทำหน้าเจื่อน
“ แล้วตกลงว่าเจ้าเป็นใครมาจากที่ใด “
“ ข้า...ข้ามาจากเผ่าทางตอนเหนือ เผ่าของข้า..ถูกรุกรานแล้ว...ย้ายไปที่ใดข้าก็ไม่รู้....” พอพูดถึงตรงนี้จิ้งจอกน้อยก็เป็นห่วงและคิดถึงผู้เป็นมารดาเหลือเกิน
“ แล้วเจ้าก็โดนทำร้ายมางั้นรึ? “
“ อื้ม “ ร่างบางนั่งน้ำตาคลอหน่อยแล้วพยักหน้าตอบ
“ อ๋อ...เอ่อ แล้วเจ้าชื่ออะไร “
“ ข้าชื่อ คชา “
“ ข้าชื่อ เต๋า เป็นคนตัดฟืนอยู่ท้ายหมู่บ้านของเผ่าลูกสน “
“ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้านะ....ข้าไม่รู้จะตอบแทนท่านได้อย่างไร “
“ ไม่เป็นไรหรอก ข้าช่วยคนไม่ได้หวังผลตอบแทน เจ้ากินข้าวกินยาเถอะจะได้หายเร็วๆ แล้วจะได้เดินทางตามหาคนในเผ่าของเจ้าต่อไป “
“ ขอบใจพี่ชายอีกครั้งนะ “ จิ้งจอกน้อยกล่าวขอบคุณด้วยความตื้นตันใจ ไม่คิดว่าพวกมนุษย์ก็มีที่ดีๆ อยู่เหมือนกัน
….......นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบกับเขา........
“ หิมะหยุดตกแล้ว “ เสียงเศร้าเอ่ยกับตนเองเบาๆ
ผีเสื้อต่างก็บินว่อนพากันดมดอมหมู่มวลดอกกุหลาบขาวที่ขึ้นเองตามธรรมชาติรอบๆ ศาลไม้สนแดงที่ถูกสร้างขึ้นอย่างวิจิตรบรรจง มุงด้วยกระเบื้องสีเข้มแต่หลังช่วงฤดูหนาวผ่านพ้นไปแล้วสีของหลังคาก็ซีดลงไปมากโขเนื่องจากถูกหิมะกัด
แผงขนตางอนยาวกระพือขึ้นเผยให้เห็นแววตาที่ยังคงโศกเศร้า ของใครคนหนึ่งที่นั่งประคองกระถางดอกกุหลายดำเอาไว้แน่น แม้ฤดูกาลจะเปลี่ยนไปบรรยายกาศจะสดใสเพียงใดก็ไม่อาจทำให้ความคิดคำนึงถึงนั้นลดน้อยลงเลยสักนิดเดียว มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ช่วยบรรเทาความคิดถึงคำนึงหาได้ นั่นก็คือความทรงจำอันแสนสวยงามและบริสุทธิ์ ของฤดูรักที่เริ่มแรกแย้มเมื่อพันปีก่อน.....
“ นั่นท่านจะทำอะไร “ ร่างบางลุกลงมาจากเตียงก่อนจะเดินเขยกมานั่งยองๆ อยู่ข้างร่างสูงใหญ่ของชายตัดฟืน
“ เจ้าลงมาทำไมคชา! เดี๋ยวแผลเจ้าก็ไม่หายสักทีหรอก เจ้านี่ซนจริงๆ “
“ ข้าเปล่าซนนะพี่เต๋า “ ใบหน้าหวานยู่ปากแบะอย่างขัดใจ
“ งั้นก็กลับไปที่เตียงของเจ้าซะ เดี๋ยวแผลก็ปริเอาหรอก “
“ ข้าเบื่อนี่นา! ข้ามาอยู่กับท่านที่นี่ตั้งแต่ช่วงฤดูหนาวจนตอนนี้หิมะละลายไปหมดสิ้นแล้ว แผลที่ไหล่ข้าก็ยังไม่หายสักที ขืนข้านอนแหมบอยู่ที่เตียงนั่นทั้งวัน ต่อไปข้าคงเป็นง่อยกันพอดี “ คชาบอกเสียงเจื้อยแจ้ว
“ งั้นเอาอย่างนี้ เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้อย่าไปไหน “
ร่างสูงเดินหายเข้าไปในบ้านครู่เดียวก็กลับมาพร้อมกับเก้าอี้ไม้แกะสลักตัวใหญ่ เขาวางมันลงข้างๆ ตัวคชาดูให้อยู่ในที่ร่มไม่โดนแดด ก่อนจะประคองคนตัวเล็กมานั่งลงบนนั้น
“ ถ้าเจ้าเบื่อก็นั่งดูข้าทำงานอยู่บนเก้าอี้นี่ก็แล้วกัน ห้ามลุกไปไหนเข้าใจไหม “
“ เข้าใจแล้วพี่เต๋า ขอบคุณท่านมากที่เป็นห่วงข้า “ คนตัวเล็กยิ้มแป้นให้กับชายร่างสูง
เมื่อเห็นว่าคชานั่งดูเรียบร้อยเขาก็กลับมาทำงานของเขาต่อ เต๋านั่งสลักลวดลายวิจิตรบรรจงลงบนเก้าอี้ไม้แดงที่เข้าเพิ่งประกอบขึ้นจนเสร็จเมื่อวาน นอกจากเข้าไปตัดไม้ตัดฟืนในป่าสนแล้วเต๋ายังเป็นช่างสลักไม้ฝีมือดีของหมู่บ้านลูกสนอีกต่างหาก เขาอาศัยอยู่ที่ท้ายหมู่บ้านเพียงลำพังดังนั้นจึงไม่เป็นอุปสรรคที่จะให้คชาอยู่ด้วยในระยะเวลาที่ยาวนานขนาดนี้
“ พี่เต๋า “
“ ว่าอย่างไร “ เต๋าไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากงานของเขา แต่คชารู้ว่าเขาฟังอยู่
“ ทำไมท่านถึงอยู่คนเดียวล่ะ “
“ ใครว่าข้าอยู่คนเดียว ข้ามีเจ้าอยู่นี่ “
“ ไม่ใช่อย่างนั้น...ข้าหมายถึงก่อนหน้านี่น่ะ ท่านไม่มีญาติพี่น้องรึ “ คำถามที่คชาทำทำเอาเต๋าเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบออกมา
“ พ่อกับแม่ของข้าตายหมดแล้ว “
“ แล้วท่านไม่คิดจะมีครอบครัวเหรอ ไม่เหงาหรือไร “
“ ข้ายังไม่เจอคนที่อยากรับเข้ามาอยู่ร่วมครอบครัวนี่นา อีกอย่างหากข้าหาได้ตอนนี้ มีหวังใครบางคนแถวนี้จะต้องระหกระเหินไปหาที่อยู่ใหม่ “
“ แต่วันนึงข้าก็ต้องไปอยู่ดี หากว่าข้าหาย..”
“ นั่นสินะ......ถูกขอเจ้า “
“ พี่เต๋าของข้ารูปร่างหน้าตาดีจะตายไป หากจะมีแม่นางน้อยที่ใดสักคนมาหลงรักก็คงไม่ยากเย็นจริงไหม “ คนตัวเล็กพูดไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้สังเกตว่าใครบางคนมีอากัปกิริยาอย่างไรกับคำพูดของตน
“ ดูเจ้าจะวุ่นวายกับการออกเรือนของข้าเหลือเกินนะ “ ร่างสูงบอกเสียงเรียบมือหยุดทำงานไปแล้ว
“ ข้าก็แค่เป็นห่วงท่าน หากวันใดที่ข้าไม่อยู่แล้ว ท่านจะได้มีเพื่อน ข้าเห็นท่านอยู่คนเดียวแววตาท่านดูหงอยเหงาจะตายไป “
“ ถึงไม่มีเจ้าข้าก็อยู่ได้ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาช่วยให้ข้าหายเหงาหรอก อีกอย่างมีเจ้าข้าละบากขึ้นอีกเป็นกอง จะเข้าป่าหลายวันก็ไม่ได้ จะไปที่ใดก็ต้องคอยห่วง ต้องคอยหาข้าวหายาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เจ้าเช้าเย็น มีเจ้าก็ไม่เห็นจะดีตรงไหนเลย เมื่อไหร่จะหายสักทีก็ไม่รู้จะได้รีบไปๆ สักที “ พูดจบร่างสูงก็เดินผละออกไปจากตรงนั้นทิ้งให้คชานั่งอ้าปากหวออยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมด้วยความงุนงง
จวบจนเย็นย่ำร่างสูงของใครบางคนก็ยังคงไม่กลับมา ร่างบางเดินย่ำเท้าวนไปวนมาอยู่ในบ้านหลังน้อยด้วยความกังวล คิดโทษตัวเองว่าคงจะพูดอะไรผิดไปพูดให้เต๋าไม่พอใจจนโกรธขึงออกไป ชั่วสี่เดือนที่อยู่ด้วยกันมาเต๋าไม่เคยมีท่าทีบึ้งตึงหรือพูดจาอย่างนี้กับคชามาก่อน
“ ข้านี่มันจริงๆ เลยน้า...ไม่น่าไปพูดเรื่องครอบครัวของพี่เต๋าอย่างนั้นเลย “ นึกอยากจะตีปากตัวเองสักสองสามทีหากแต่ว่ากลัวจะเจ็บคนตัวเล็กจึงได้แต่เดินวนไปวนมาอย่างเป็นกังวล
ดวงจันทร์ลอยขี้นสูงเหนือหัวสะท้อนลงบนธารน้ำใส ร่างบางเดินท่อมๆ ออกมาตะโกนเรียกหาคนที่ยังไม่ยอมกลับมาที่บ้านด้วยความเป็นห่วง
“ พี่เต๋า!! ท่านอยู่ไหนน่ะ พี่เต๋า!! “
จวบจนผ่านไปหลายชั่วยามคชาจึงกลับมายังบ้านหลังน้อยด้วยความอ่อนล้า เท้าเล็กๆ สองข้างปวดไปหมดแต่ที่ยิ่งแย่กว่าคือบาดแผลที่ถูกธนูอาคมต่างหากที่ระบมช้ำขึ้นมาอีก ปกติจิ้งจอกเพลิงอย่างคชาจะสามารถรักษาบาดแผลของตนเองได้ตามพลังรักษาที่มีอยู่ติดตัวทุกตนตั้งแต่เกิด แต่หากว่าโดยอาวุธที่ต้องอาคมเมื่อใดแผลนั้นจะรักษาเองไม่หายและต้องใช้เวลารักษานานมากด้วยวิธีถอนคม แต่เต๋าไม่ล่วงรู้ว่าคชาไม่ใช่มนุษย์ดังนั้นจึงรักษามันด้วยวิธีปกติบาดแผลนี้จึงไม่หายสักที
คนตัวเล็กนั่งลงบนเก้าอี้สลักตัวโปรดตั้งใจว่าจะรอคอย หากนอนลงบนเตียงคงจะหลับไปอย่างไม่ต้องสงสัย ร่างบางจึงนั่งที่เก้าอี้แทนแต่จนแล้วจนรอดร่างบางก็ผลอยหลับไป
แสงแดดส่องกระทบผิวหน้าแผงขนตางอนกระพริบขึ้นลงถี่ๆ ก่อนจะลืมตาขึ้น คนตัวเล็กมองไปรอบๆ ก็ไม่พบชายตัวขาวที่หายไปตั้งแต่เมื่อวาน ในใจนึกเป็นห่วงจนแทบทนไม่ไหวรีบรุดออกจากเก้าอี้ตั้งใจจะออกไปตามหาอีกครั้ง
แต่เมื่อครั้นออกมาจากประตูบ้านสายตาก็พลับไปสะดุดกับร่างสูงขางที่แสนคุ้นตา เดินอาดๆ ตรงกลับมาที่บ้านในมือถือต้นไม้อะไรสักอย่างติดมาด้วย
“ พี่เต๋า!! ท่านหายไปไหนมา รู้ไหมข้ารอท่านเป็นห่วงแทบแย่ “ คนตัวเล็กวิ่งไปพลางกระโดไปพลางตรงเข้าไปหาเต๋าด้วยความดีใจ เมื่อไปถึงก็รีบเกาะแขนอย่างออดอ้อน
“ ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าวิ่ง! “ เต๋าบอกอย่างเป็นห่วง
“ ข้าขอโทษ...ข้าขอโทษเรื่องเมื่อวานด้วย ข้าไม่น่าพูดกับท่านแบบนั้นเลย ข้าไม่น่าเจ้ากี้เจ้าการเรื่องครอบครัวของท่าน พี่เต๋าอย่าโกรธข้าเลยนะ ข้าขอโทษจริงๆ “
ดวงตาคมก้มลงมองคนคนตัวเล็กที่ช้อนตาขึ้นมองเขาอย่างรู้สึกผิด ดวงตารียาวแต่ทว่าในตากลมใสมีน้ำตาคลอหน่วยเอ่อล้นอยู่ ทำให้หัวใจชายหนุ่มกระตุกวูบทันที ความจริงเขาไม่ได้คิดโกรธคชาเพียงแต่รู้สึกน้อยใจที่คนตัวเล็กเอาแต่บอกว่าจะจากไป
เขาอยู่คนเดียวมานานจวบจนวันที่พบร่างเล็กที่นอนหมดสติอยู่ริมธาร ร่างกายเกือบค่อนร่างแทบจะจับเป็นน้ำแข็งเขาจึงรีบช่วยมา ไม่คิดว่าเมื่อใบหน้าเรียบสวยแสนสงบนิ่งเมื่อยามหลับลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วจะเปลี่ยนแปลงโลกที่เงียบเหงาทั้งใบของเขาให้ดูสดใสขึ้นทันตา ทุกวันตลอดสี่เดือนที่ผ่านมาเขาจะรู้สึกสุขใจทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเขาไม่ได้ใช้ชีวิตเพียงลำพังอีกต่อไป เขายังมีใครอีกคนให้ต้องดูแล
“ ข้าไม่ได้โกรธเจ้าหรอก “ มือหนาแสนอบอุ่นลูบหัวคนตัวเล็กเบาๆ
“ จริงนะ! “ ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มขึ้นด้วยความดีใจ
“ จริงสิ..หากข้าโกรธเจ้าข้าจะเข้าป่าไปหาสมุนไพรนี่มารักษาเจ้าเหรอ “ เขายกต้นไม้ในมือให้คชาดู
“ พี่เต๋าท่านช่างดีกับข้าจริงๆ “ ขาเล็กกระโดดหยองแหยงอย่างคะนองใจ
“ ข้าบอกเจ้าว่ายังไงคชา “ ดวงตาคมมองลงมาอย่างดุๆ
“ ห้ามกระโดด...แต่ข้าดีใจนี่นา ท่านห้ามโกรธข้านะ “ คนตัวเล็กหงอยลงถนัดตา
“ เฮ้อ~ เอาเถอะ ห้ามเจ้าไปก็ไร้ประโยชน์ เราเข้าบ้านกันเถอะ ข้าจะได้เอาสมุนไพรนี่ลงดินด้วย “
“ ครับ “ ร่างบางเดินกระดุ๊กกระดิ๊กเกาะแขนพี่ชายที่แสนดีเข้าบ้านไปพร้อมๆ กัน
เต๋าเอาต้นไม้ที่ไปหามาปลุกลงกระถางกระเบื้องใบเล็ก ก่อนจะรดน้ำลงไปเล็กน้อยแล้วนำไปวางไว้ที่โต๊ะตัวเล็กข้างหน้าต่าง เขากลับเข้ามานั่งที่โต๊ะแล้วอธิบายให้คชาหายสงสัยว่าเอาต้นไม้นั้นมาทำอะไร
“ มันคือกุหลาบหิมะ ดอกของมันเป็นสีขาวเหมือนสำลีเชียวล่ะ แม่ข้าเคยบอกว่าดอกของมันสามารถรักษาบาดแผลได้แทบทุกชนิด ข้านึกขึ้นได้ว่าเพราะแผลของเจ้าไม่หายเสียที เสียดายกว่าจะออกไปตามหามันจนเจอมันก็ไม่ออกดอกสักต้น คงต้องนำมาเลี้ยงไว้จนกว่าดอกจะออกนั่นแหละ “
“ ขอบคุณท่านมากนะพี่เต๋าที่ทำเพื่อข้าขนาดนี้ “ คชาบอกอย่างซึ้งใจ
“ หากเจ้ายังไม่หายคงต้องรอหน่อยกว่ามันจะออกดอก ไม่รู้ว่าพวกที่ทำร้ายเจ้ามันใช้พิษอาบไว้ที่คันธนูหรือเปล่าถึงไม่หายเสียที “
“ ช่างมันเถอะพี่เต๋า ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้รีบเสียหน่อย “
“ แล้วเจ้าไม่อยากตามหาแม่ของเจ้าแล้วรึ “
“ อยากสิ แต่ว่านี่ก็หลายเดือนแล้ว พวกของข้าไม่รู้ไปอยู่ที่ใด ไม่สู้ให้ข้ารักษาตัวก่อนแล้วค่อยออกตามหาไม่ดีกว่าหรอกหรือ “
“ ถูกของเจ้า ข้าก็อยากให้เจ้ารักษาตัวอยู่กับข้าที่นี่ก่อน หากเจ้าหายไปสักคนข้าคงคิดถึงแย่ “
“ ข้าก็ต้องคิดถึงท่านเหมือนกันแน่ๆ เลย “
“ ไม่รู้ว่าเราต้องรอถึงเมื่อไหร่กุหลาบหิมะถึงจะออกดอกนะ “
“ นั่นสิ เราคงต้องคอยดูแลมันดีๆ “ คนตัวเล็กเดินไปหยุดที่กระถางดอกไม้
“ ข้าหวังว่ามันจะใช้เวลานาน เจ้าจะได้อยู่กับข้าไปนานๆ “ ร่างสูงเอ่ยออกมาเบาๆ หวังไม่ให้คชาได้ยิน
แต่มีหรือที่ปีศาจจิ้งจอกน้อยจะไม่ได้ยิน คำพูดนั้นดูคล้ายจะเห็นแก่ตัวไปสักหน่อยแต่มันทำให้คชายิ้มแก้มปริ ยิ้มไปจนถึงหางตา ยิ้มอย่างสุขใจโดยที่ไม่รู้ความหมายว่าทำไมต้องรู้สึกราวกับหัวใจพองโตขนาดนี้.....
สายลมพัดเอากลิ่นหอมของดอกกุหลาบหิมะที่บานสะพรั่งอยู่ด้านนอกเข้ามาภายในศาล คนตัวเล็กก้มลงมองดอกกุหลาบหิมะสีดำที่ไม่มีวันโรยราในมือของตน
“ ไม่รู้ป่านนี้ท่านจะคิดถึงข้าเหมือนกับที่ข้าคิดถึงท่านบ้างหรือเปล่านะ พี่เต๋า “
วันนี้ที่หมู่บ้านต้นสนมีงานรื่นเริงประจำปี มันเป็นเทศการบูชาเทพเจ้าเพื่อขอให้ฤดูหนาวปีนี้ไม่เกิดพายุหิมะ และก็เป็นธรรมเนียมเหมือนกันทุกปีที่สมาชิกในหมู่บ้านจะต้องออกมาร่วมงาน ปีนี้ของเต๋าต่างไปจากเดิมเพราะเขามีคชาไปด้วย โดยปกติเขามักเก็บตัวเงียบอยู่ที่ท้ายหมู่บ้านเพียงลำพัง ไม่ค่อยคบค้าสมาคมกับใคร จึงไม่แปลกที่คนในหมู่บ้านจะไม่รู้ว่าเขามีสมาชิกใหม่มาอยู่ด้วยร่วมปี
งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างสนุกสนาน คชาตื่นตาและสนุกกับเทศการที่ไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน จิ้งจอกน้อยออกไปเต้นรำและรื่นเริงกับคนอื่นๆ ทำตัวสนิทชิดเชื้อกับใครๆ ได้อย่างรวดเร็ว คนในหมู่บ้านต่างชื่นชมเอ็นดูเพราะเห็นว่าคชาหรือบุคคลที่เต๋าแกล้งบอกว่าเป็นญาติผู้น้องนั้นน่ารักน่าเอ็นดูมาก
“พี่เต๋าต๋าว~” เสียงใสเรียกคนตัวสูงที่นั่นคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านมาแต่ไกล
“ว่ายังไง..เจ้าจะเอาอะไร” ร่างสูงหันมายิ้มเหมือนคชามาถึงและตรงเข้ามาเกาะแขนเอาหัวถูไหล่อย่างออดอ้อน
“ไปเต้นรำกับข้าหน่อยสิ”
“ไม่เอา ข้าเต้นไม่เป็น” เต๋าส่ายหัวปฏิเสธ
“นะพี่เต๋า ไปเต้นกับข้าหน่อย นะนะนะน้า” คนตัวเล็กไม่ละความพยายาม ทั้งออดอ้อนช้อนตาใสๆ มองจนในที่สุดคนที่บอกว่าไม่ไปก็ยอมใจอ่อน
“ก็ได้ๆ ข้ายอมให้เจ้าครั้งเดียวนะ”
“เย้ๆๆ ไปเร็ว” จิ้งจอกน้อยกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจเต๋าถึงกับส่ายหน้าอย่างระอาปนขำ
ช่วงสนุกสนานดูจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนงานเลี้ยงเลิกราเต๋าแบกคชาไว้บนหลังเพราะคนตัวเล็กแทบจะหมดสติเดินตุปัดตุเป๋เนื่องจากน้ำลูกท้อหมักกับข้าวที่ใครๆ ก็ต่างเอามาให้ดื่ม
“ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อนนะท่านหัวหน้า” เต๋าบอกกับหัวหน้าหมู่บ้านชายแก่พยักหน้าน้อยๆ
“ได้สิ..เจ้าหมาน้อยของเจ้าช่างซุกซนเหลือเกินนะ พากันกลับไปพักผ่อนแล้วพรุ่งนี้มาหาข้าหน่อย”
“ขอรับ” เต๋าพยักหน้ารับก่อนเดินกลับบ้านทิ้งให้ชายแก่มองตามหลังไปด้วยสายตาเป็นห่วง
“ห้วงเวลาแห่งความสุขช่างผ่านไปรวดเร็วยิ่งกว่าลมพัดทิวไผ่.....ความรักที่เป็นไปไม่ได้ ช่างน่าเศร้าใจยิ่งนัก” ผู้เฒ่าพึมพำกับตนเองเบาๆ สายตาคมที่มองผ่านโลกมายาวนานย่อมรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไรแม้มองแค่แวบเดียว
ร่างสูงวางคนตัวเล็กลงบนเตียงไม้หลังใหญ่ก่อนจะตักน้ำสะอาดใส่อ่างกลับมาพร้อมผ้าขาว เขาเอาผ้าชุบน้ำบิดหมาดแล้วจัดการถอดเสื้อเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้คชา เขาอยู่กับคชามาเกือบ10 เดือน แผลที่ไหล่ของคชาก็ยังไม่หายสนิท ดอกไม้ที่นำมาปลูกเจริญงอกงามดีหากแต่มันไม่ยอมออกดอกไม่ว่าจะทำเช่นไร เขาลงน้ำหนักมือแผ่วเบาบนหัวไหล่ขาวอมชมพู แม้จะรู้สึกหวั่นไหวอยู่บ้างแต่เมื่อเห็นรอยแผลก็กังวลใจอย่างยิ่งไม่รู้จะทำเช่นไรได้ให้คชาหายจะอาการเจ็บปวดเสียที
ในระหว่างที่ร่างสูงค่อยๆ เช็ดตัวให้อยู่นั้นคนตัวเล็กก็กระพริบเปิดเปลือกตาขึ้นมามอง สายตาที่มองมานั้นเชื่อมหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งบริสุทธิ์ ริมฝีปากบางยกยิ้มน้อยๆ งดงามราวกับดอกไม้ที่ผลิบานทำเอาหัวใจชายหนุ่มกระตุกไหว
“พี่ต๋าว~”คชาเรียกเสียงหวาน
“ว่ายังไงหืม..”
“ทำไมพี่ยังไม่นอนอีก”
“ข้าเช็ดตัวให้เจ้าอยู่เห็นไหม เจ้าดื่มจนเมามากเลยข้ากลัวเจ้าหลับไม่สบาย” ร่างสูงเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“ขอบคุณท่านมากนะ ท่านช่างดีกับข้าจริงๆ ข้าไม่รู้จะตอบแทนท่านได้อย่างไรเลย” มือเรียวลูบไล้ไปบนแขนแกร่งเบาๆ
“ไม่ต้องตอบแทนข้าหรอก ข้าเต็มใจทำให้เจ้า เจ้านอนเถอะคชา”
“ข้าไม่ง่วงแล้ว” คนตัวเล็กลุกขึ้นมานั่งมองหน้าเต๋า
“นอนซะเด็กดี อย่าดื้อสิ”
ร่างสูงดันให้คชาล้มตัวลงนอนแต่อาจจะด้วยฤทธิ์ของสุราหรืออะไรก็ช่างจึงทำให้คชาทำในสิ่งที่ร่างสูงต้องพรั่งพรึงหวั่นไหว คชาโอบรอบคอแกร่งแล้วมอบจุมพิศแผ่วเบาให้กับคนที่พยายามควบคุมตัวเองอย่างหนัก ควบคุมทั้งตัวและหัวใจไม่ให้คิดเกินเลย
แต่สัมผัสแผ่วเบานั้นมันนุ่มนวล หอมหวาน ชวนให้หลงไหลเกินกว่าที่เขาจะทนทานได้ไหว ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจึงถูกปัดทิ้งไป ร่างสูงบดเบียดจุมพิตที่ร้อนแรงยิ่งกว่าลงไป ขบกัดที่ริมฝีปากล่างให้เปิดออกน้อยๆ ก่อนจะเข้าไปสำรวจ ควานหาความหวานภายในเนิ่นนานจนพอใจก่อนจะผละออกมา
“พอแล้ว...เจ้านอนซะ หยุดก่อน เจ้าไม่รู้ตัวว่าเจ้ากำลังทำอะไรหรอก” ร่างสูงก้มลงมองคชาที่นอนหอบหายใจใบหน้าแดงเรื่อ
“ข้า..ข้า” ร่างบางผู้อ่อนเดียงสาไม่รู้สักนิดว่าการกระทำและความรู้สึกของตนมันจะปลุกเร้าสัญชาตญาณของชายหนุ่มตรงหน้ามากแค่ไหน
“นอนซะเถอะคชา” เต๋าบอกอย่างยากลำบาก แค่ในทุกๆ วันต้องนอนร่วมเตียงไม่แตะต้องร่างบางเขาก็แทบจะทนไม่ไหวแล้ว ยังดีที่ตอนนี้เขาฉุดรั้งตัวเองเอาไว้ได้
“ข้าไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรจริงเหรอ....ข้าว่าข้ารู้นะ”
“รู้อะไรกัน ไหนบอกมาซิ”
“ข้ารู้สึกว่าหัวใจของข้ามันเต้นดัง มันเรียกร้องจนแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว”
“เรียกร้องอะไร”
“ข้า...หัวใจข้ามัน..เรียกแต่ท่าน มันเรียกร้องหาแต่ท่าน มันต้องการท่าน” คนที่ซื่อตรงกับความรู้สึกของตนเองอย่างไรก็ยังซื่อตรงอยู่อย่างนั้น
“หยุดพูดเถอะ”
“ท่านบอกให้ข้าหยุดอีกแล้ว ข้าพูดความจริงนะ”
“เจ้าเมามากแล้ว นอนเถอะ”
“ข้าไม่เมานะ..ข้าพูดจริงๆ ข้า....อึดอัด ข้าต้องบอกท่าน”
“เจ้าจะบอกอะไร ไหนว่ามาซิ”
“ข้ารักท่าน”
ยิ่งคนตัวเล็กพร่ำเพ้อมากเท่าไหร่ร่างสูงยิ่งทนไมไหว ความอดทนที่มีอยู่เพื่อรั้งสติอันน้อยนิดต้องขาดสะบั้นลงเพื่อคำพูดประโยคนั้น......
ค่ำคืนอันแสนยาวนานอบอวลไปด้วยคำรัก แม้ลมหนาวจะพัดผ่านมาอีกครั้ง แม้หิมะแรกเริ่มขอฤดูจะโปรยปรายลงมาแต่ในที่แห่งนี้อบอุ่นอย่างน่าประหลาดเมื่อร่างสองร่างตระกองกอด สองหัวใจหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
“ข้าก็รักเจ้าคชา”
เช้าแรกของฤดูหนาวคนตัวเล็กลืมตาขึ้นมาในอ้อมกอดอุ่นของคนตัวโตอย่างสุขใจ ความทรงจำที่แสนอาจหาญของตนเองกลับคืนมาในสมองทำให้คชาไม่สามารถนอนมองหน้าเต๋าอยู่ได้ ต้องพลิกตัวกลับไปอีกทางด้วยความเขินอาย สายตาจึงพลันเหลิบไปเห็นดอกตูมของกุหลาบขาวหิมะโผล่ขึ้นมา
“พี่เต๋า! ตื่นเถอะ”
“หืม~” ร่างสูงงัวเงียตื่นขึ้นมา
“ดูสิๆ มันออกดอกแล้วล่ะ มันออกดอกแล้ว”
ทุกวันทั้งสองคนช่วยกันดูแลดอกไม้นั้นอย่างดีเพื่อรอเวลาให้มันผลิบาน เต๋านั้นหวังว่าจะใช้มันช่วยรักษาคนรักแต่คชากลับคิดต่างกัน คนตัวเล็กหวังเพียงอยากเห็นมันผลิบาน เพราะมันเป็นดอกไม้ที่สำคัญเป็นตัวแทนของตนและเต๋า คชาจึงไม่อยากเด็ดมันลงมา คนตัวเล็กจ้องมองมันอยู่อย่างนั้นเนิ่นนานจวบจนเต๋ากลับมาจากไปหาหัวหน้าหมู่บ้านคชายังไม่รู้สึกตัวเพราะเอาแต่เหม่อลอย
“คชา”
“พี่เต๋า~ กลับมาแล้วเหรอ ข้ารออยู่พอดีเลย ข้าว่านะดอก..”
“เดี๋ยวก่อน” ยังไม่ทันพูดให้จบประโยคเต๋าก็พูดแทรกขึ้นก่อน
“มีอะไรเหรอเปล่า ทำไมท่านทำหน้าอย่างนั้น” เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของร่างสูงคนตัวเล็กจึงถามด้วยความเป็นห่วง
“ข้าขอถามเจ้า ขอถามให้แน่ใจ”
“อะไร”
“เจ้าเป็นปีศาจจิ้งจอกเพลิงใช่หรือไม่”
คำถามที่เอ่ยออกมาทำเอาคชานิ่งอึ้งค้างไปพักใหญ่ ไม่รู้ว่าเต๋ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร แต่หากจะปกปิดต่อไปก็คงไม่ได้เพราะคชาเองก็ไม่อยากปิดบังเต๋าอีกแล้ว
“ว่ายังไง เจ้าเป็นปีศาจจิ้งจอกเพลิงหรือเปล่า”
“ข้า...ข้า”
“บอกข้ามา”
“ใช่..ข้าเป็น” เมื่อล่วงรู้ความจริงคนตัวสูงก็เงียบไปพัก
“เจ้า..”
“พี่เต๋าข้าขอโทษ ข้าไม่ตั้งใจจะหรอกท่านนะ ..ข้า....” คชายังไม่ทันจะแก้ต่างให้ตัวเองจบมือหนาก็กระชากคชาเข้ามากอดไว้แนบอกทันที
“ทำไมกัน...ทำไมต้องเป็นอย่างนี้” เต๋ารำพันด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ทั้งยังกระชับอ้อมกอดแน่น
“พี่เต๋า..ท่านไม่โกรธข้าเหรอ” คชาถามอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่...ข้ารักเจ้า..ไม่ว่าเจ้าเป็นอะไรข้าก็รัก หากแต่ช่างโชคร้ายนัก”
“มีอะไรเหรอ” คนตัวเล็กดันตัวเองออกจากอ้อมกอดแล้วมองคนตรงหน้า
“คชา...หากเจ้าเป็นปีศาจจิ้งจอกเพลิงจริง ข้า...ข้าเสียใจด้วยนะ”
“มีอะไร”
“พวกในเผ่าของเจ้า ถูกพวกนักพรตชั้นเลวพวกนั้น.....สังหารสะกดวิญญาณหมดแล้ว รวมทั้งแม่ของเจ้าด้วย”
“ท่านว่ายังไงนะ ไม่จริงใช่ไหม ไม่จริงใช่ไหม!”
จิ้งจอกเพลิงตัวสุดท้ายคร่ำครวญราวกับจะขาดใจ น้ำตาที่ไหลหยดลงมาแทบเปลี่ยนเป็นสายเลือด ร่างกายสั่นทึมจนคุมตัวเองไม่อยู่หมดสติไปทันที
จวบจนผ่านไปหลายชั่วยามคนตัวเล็กจึงฟื้นขึ้นมาและพบกับคนรักที่นั่งเฝ้าอยู่ที่ข้างเตียง เมื่อเห็นคชาฟื้นขึ้นมาแล้วเต๋าก็เตรียมจะบอกเรื่องที่เร่งด่วนสำคัญก่อน
“คชาเจ้าฟื้นแล้ว”
“พี่เต๋า...ฮึก...แม่ข้า”
“อย่าร้องไปเลย ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า เจ้าจะอยู่กับข้า เราจะอยู่ด้วยกันไปตลอดข้าสัญญา”
“ขอบคุณนะ” คนตัวเล็กลุกขึ้นโผกอดคนรักแน่น
“แต่คชา ฟังข้าก่อนนะ”
“มีอะไรเหรอ” คนตัวเล็กเช็ดน้ำตาแล้วมองรอคอยด้วยใจจดจ่อ
“คือท่านหัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าพวกนักพรตเลวเหล่านั้นจะเดินทางมาตามหาจิ้งจอกเพลิงตัวสุดท้าย และกำลังมุ่งหน้ามายังหมู่บ้านของเรา”
“แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี”
“ท่านหัวหน้าบอกให้ข้าตบตาพวกมันด้วยการ...”
“ด้วยอะไร”
“ด้วยการสะกดเจ้าไว้ในรูปภาพ”
“สะกดไว้ในรูปงั้นเหรอ”
“ใช่...ข้าจะเป็นคนสะกดเจ้าและจะเป็นคนคลายสะกดให้เจ้าเองเมื่อพวกมันไปแล้ว”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ ข้าไว้ใจท่าน” คชายอมตกลงโดยไม่ลังเลแม้สักนิดเดียว
วันเวลาล่วงเลยไปใครจะรู้ เมื่อจิ้งจอกเพลงถูกคนรักสะกดไว้ในรูปภาพเพื่อความปลอดภัยจากศัตรู ชายตัดฟืนสัญญาว่าจะกลับมาแต่ผ่านไปเป็นพันปีก็ยังไม่กลับมา เพราะระหว่างทางที่พวกนักพรตมาสำรวจในหมู่บ้านและไม่พบเจออะไรพวกนั้นก็เตรียมตัวจะกลับ แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อพายุหิมะโหมกระหน่ำอย่างหนัก เต๋าชายหนุ่มผู้โชคร้ายถูกขอให้นำทางออกไปเพื่อส่งพวกนักพรตออกจากหมู่บ้าน
“ข้าสัญญาจะกลับมาคลายสะกดให้เจ้าทันที ที่ไปส่งพวกมันออกจากหมู่บ้านแล้ว ข้าสัญญา”
ใครจะรู้ว่านั่นจะเป็นคำสุดท้ายที่ได้ยิน หลังจากที่ส่งพวกนักพรตไปแล้วเกิดพายุหิมะขึ้นอีกระลอก และครั้งนี้มันคร่าชีวิตและคำสัญญาของชายตัดฟืนไปตลอดกาล
ผ่านมานับพันปีคชายังคงรอทั้งที่ไม่รู้เลยสักนิดว่าชายหนุ่มที่รอได้ตายจากไปนานแล้ว ข้างนอกมีพายุฝนไม่รู้จากไหนกระหน่ำตกลงมาอย่างหนักลมพัดให้ประตูศาลเปิดออกอย่างแรง แต่นอกเหนือจากลมยังมีใครสักคนวิ่งฝ่าสายฝนเข้ามา
แต่เมื่อลองสังเกตดูดีๆ ชายที่กำลังใช้แขนเสื้อเช็ดใบหนาคนนั้นก็ทำให้ดวงตารีของคชาต้องเบิกกว้าง หัวใจที่เต้นมากว่าพันปีตอนนี้สั่นระรัวราวกับกล้องที่ลั่นในสงคราม หยาดน้ำตาที่คิดว่าหลั่งออกมาจนเหือดแห้งไปนานแล้วทะลักออกมายิ่งกว่าทำนบแตก
“เป็นท่านจริงๆ ใช่ไหม.....ท่านพี่...เป็นท่าน...” เสียงที่เปล่งออกมาคล้ายจะแผ่วเบาแต่และไม่ควรที่คนข้างนอกรูปภาพจะได้ยิน แต่เสียงนั้นกลับทำให้ชายหนุ่มผู้มาใหม่หันไปมอง
“ใครน่ะ” ยิ่งเขาเดินเข้าไปใกล้รูปภาพที่แขวนเด่นอยู่ ยิ่งได้ยินชัดเจน
“พี่เต๋า...อึก...พี่เต๋า...ท่านกลับมา” ภาพที่คชาเห็นมันชัดเจนเมื่อใบหน้าของเต๋าเข้าใกล้มาเรื่อยๆ “ท่านทำตามสัญญา”
“ฉันถามว่าเสียงใคร”
“พาข้าออกไป....รับข้าออกไปที”
คนตัวสูงยืนหยุดที่หน้าภาพวาดโบราณแล้วเพ่งมองอย่างสงสัย เหมือนมีบางสิ่ง เหมือนมีบางอย่างดึงดูดให้รู้สึกถวิลหา บุคคลในภาพคล้ายกับกำลังจ้องมองมาที่เขา แววตาเศร้านั้นทำห้เขาแทบอยากจะร้องไห้ออกมา เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต
“ข้ารอท่านมานานแล้ว.....พาข้าออกไปที”
ดวงตาคมจ้องมองดวงตาของคนในภาพอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน มือหนาค่อยๆ เอื้อมออกมาราวกับถูกมนต์สะกด ปลายนิ้วเคลื่อนเข้าไปใกล้มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น
จนในที่สุด.......
เมื่อปลายนิ้วสัมผัสที่รูปภาพ ลมฝาจากด้านนอกก็หยุดลงราวกับถูกสั่ง หยุดนิ่งจนน่าตกใจ แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือภาพวาดนี้ค่อยๆ เปล่งแสงออกมาจนชายหนุ่มแสบตา ชายหนุ่มยกมือป้องลำแสงนั้นจนมันหายไปเขาจึงหันกลับไปมองอีกครั้งและสบกับนัยตาคู่สวยที่อยู่ในรูปภาพเมื่อครู่
“พี่เต๋า...” เสียงหวานเรียกแผ่วเบา แล้วร่างเล้กก็โผเข้ากอดคนที่แสนคิดถึงทันที
ความเจ็บปวด ทรมานตลอดพันปีที่ผ่านมาสลายและคลายไปหมดสิ้นราวกับไม่เคยเกิดความรู้สึกพวกนั้นขึ้น คชารู้เพียงแค่ไม่ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไรเขาจะไม่มีวันแยกจากคนที่เขารักอีก.....
แม้จะนานแค่ไหน
ข้าจะรอ …
รอท่านตลอดไป
ความรักของข้าจะยังคงอยู่
ข้าจะรักษามันไว้เพื่อท่านเพียงคนเดียว
ครบแล้ว!!! จุพลุได้ไหม5555
ในที่สุดก็ลงครบเสียที ยากมากที่จะแต่งเรื่องสั้นในจบในตอนเดียว
เรื่องสั้นเรื่องนี้ยาวเท่าฟิคธรรมาดาของอิน 4 ตอนรวมกันเลย
ขอบคุณที่ตามอ่านกันนะคะ ไม่รู้ว่าจะถูกใจกันหรือเปล่าเนอะ
มันเป็น SF ที่แต่งแบบทันทีที่ได้ฟังเพลงประจำเรื่องนี้เลย ฟังปุ๊บพล๊อตมาปั๊บ 5555
อาจจะขาดๆ เกินๆ บ้าง ต้องขออภัยด้วยนะคะ
อินมีโครงการจะแต่งเรื่องราวหลังจากนี้ต่อ แต่ก็ยังไม่แน่ใจนะคะ
เอาเป็นว่า ชอบไม่ชอบก็คอมเม้นบอกด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ (^O^)
อินอิน นา
ผลงานอื่นๆ ของ อินอิน ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ อินอิน
ความคิดเห็น